ก่อนอื่นผมต้องบอกก่อนครับว่าภาวะปัสสาวะไม่ออกในผู้หญิง หรือ Urinary retention in female พบได้น้อยกว่าในผู้ชายมากๆ มีงานวิจัยพูดถึงความชุกของภาวะนี้เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ชายพบว่าน้อยมากครับ พบเพียง 1:13 คนเท่านั้น เหตุผลหลักเลยก็คือในผู้หญิงไม่มีต่อมลูกหมากที่จะคอยขัดขวางทางเดินน้ำปัสสาวะเหมือนในผู้ชายครับ อย่างไรก็ตามหากภาวะนี้เกิดขึ้นมักจะเป็นเรื่องยากสำหรับคุณหมอที่ไม่ได้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในเรื่องนี้ ซึ่งวันนี้เราจะมาคุยภาวะปัสสาวะไม่ออกในผู้หญิงกันครับ

สาเหตุของภาวะนี้มักเกิดจากปัจจัยหลายๆ เรื่องและมีความสลับซับซ้อน ทำให้เราต้องพิจารณาโดยละเอียดอย่างมีขั้นตอนครับ จากประสบการณ์ของผมจะแบ่งคนไข้ภาวะนี้ออกเป็นสองระยะครับ

แบ่งภาวะปัสสาวะไม่ออกในผู้หญิงเป็นสองกลุ่มคนไข้ครับ
- ประเภทที่เพิ่งเป็นครับ - จะเป็นกลุ่มที่เพิ่งมีอาการปัสสาวะไม่ออกไม่เกินหกสัปดาห์ครับ
- ฉันคิดว่ามันเป็นผู้หญิงที่ย้อนกลับได้ใน AUR และจำเป็นต้องค้นหา สาเหตุ ที่แก้ไขได้
- มักพบมากในกลุ่มคุณแม่หลังคลอดหรือคนไข้ที่ได้รับการผ่าตัดแก้ไขอาการปัสสาวะเล็ดราด
- ประเภทที่เป็นมานานแล้วครับ - เป็นกลุ่มที่เคยได้รับการแก้ไขปัจจัยเสี่ยงเบื้องต้นแต่ยังคงปัสสาวะไม่ออกอยู่ จะทำให้เราคิดถึงภาวะปัสสาวะไม่ออกเรื้อรังครับ โดยแบ่งย่อยออกได้สองกลุ่มย่อยครับ
- กลุ่มที่มีปัญหาตัวกระเพาะปัสสาวะ เช่นโรคกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไม่ดีหรือโรคเส้นประสาทที่ไม่ดี
- กลุ่มที่มีปัญหาท่อปัสสาวะ เช่นท่อปัสสาวะโดนเบียดจากเนื้องอกทางนรีเวช เนื้องอกท่อปัสสาวะเองหรือแม้กระทั่งภาวะตั้งครรภ์ครับ

คำถามโดยทั่วไปที่จะเกิดขึ้น “เราจะทำอย่างไรในช่วงที่ปัสสาวะไม่ออก” คำตอบก็คือ “ต้องระบายน้ำปัสสาวะออกก่อนนะครับ” การระบายน้ำปัสสาวะออกจะได้ประโยชน์ในแง่ลดความดันของกระเพาะปัสสาวะที่ต้องกักเก็บน้ำปัสสาวะปริมาณมากเป็นเวลานาน ซึ่งภาวะนี้ทำให้แรงบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะเสียไปครับ การพักกระเพาะปัสสาวะจึงเป็นวิธีที่ทำให้กระเพาะปัสสาวะมีแรงบีบตัวที่ดีภายหลังได้ครับ
นั่นแปลว่าลำดับในการรักษาภาวะปัสสาวะไม่ออกในผู้หญิงจะเป็นไปตามขั้นตอนดังนี้ครับ
- ทำการระบายน้ำปัสสาวะด้วยการสวนสายปัสสาวะโดยอาจจะเป็นการสวนชั่วคราวหรือสวนและคาทิ้งไว้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
- มองหาสาเหตุของภาวะปัสสาวะไม่ออกที่สามารถแก้ไขได้และทำการแก้ไข
- คาสายสวนปัสสาวะไว้ 1 ถึง 14 วันทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เป็นสาเหตุของภาวะปัสสาวะไม่ออกของคนไข้ครับ หลังจากนั้นให้คนไข้ลองปัสสาวะเองครับ
- ถ้าคนไข้สามารถปัสสาวะได้เองถือว่าประสบความสำเร็จในการรักษาแต่กลับกันถ้ายังคงปัสสาวะไม่ออกเราจะใส่สายปัสสาวะอีกครั้งและทำการพิจารณาถึงสาเหตุและวิธีการรักษาในลำดับต่อๆไปครับ

มีงานวิจัยพบว่า 92.6% ของคนไข้กลุ่มนี้ประสบความสำเร็จในการปัสสาวะได้เองหลังจากแก้ไขปัจจัยเสี่ยงครับเพราะฉะนั้นอย่าพึ่งตกใจจนเกินไปนะครับ หากมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ลองปรึกษาคุณหมอทางเดินปัสสาวะที่คุณไว้ใจหรือลองทักผมมาก็ได้ครับ
เยี่ยมชม Homepage ของผมได้นะครับ.




